เลือกหน้า

28 องค์กรและผู้นำมุสลิมชายแดนใต้ ร่วมละหมาดฮายัต-แถลงประณาม “ทรัมป์” กรณีมัสยิดอัลอักซอ

22 ธ.ค. 2560

ปัตตานี – 28 องค์กรและผู้นำมุสลิมในจังหวัดชายแดนใต้ ร่วมพิธีละหมาดฮายัตขอพร เพื่อคุ้มครองให้กำลังใจชาวปาเลสไตน์ พร้อมทั้งอ่านแถลงการณ์ประณาม “โดนัลด์ ทรัมป์” กรณีมัสยิดอัลอักซอ

วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่มัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดปัตตานี ร่วมกับ 28 องค์กรมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น นักศึกษาประมาณ 3,000 คน นำโดยนายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี ได้รวมตัวกันแสดงจุดยืนถือธงชาติปาเลสไตน์ ธงชาติไทย และประกอบพิธีละหมาดฮายัตขอพร เพื่อคุ้มครองและให้กำลังใจแด่ชาวปาเลสไตน์

พร้อมกับมีการอ่านแถลงการณ์ประณาม “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กรณียอมรับให้อัลกุดส์เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอล ว่ารัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ หมดความชอบธรรมที่จะเป็นคนกลาง เจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์ เนื่องจากได้ใช้ความเป็นมหาอำนาจ สนับสนุนความอธรรม และความรุนแรง

นายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี ได้อ่านแถลงการณ์ความว่า สหรัฐอเมริกาได้แสดงบทบาทเป็นตัวกลางในการเจรจาเพื่อสันติภาพ ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลเสมอมา ตั้งแต่มีข้อพิพาทแย่งชิงดินแดนของปาเลสไตน์โดยยิวไซออนิสต์ แม้โลกมุสลิมจะรู้ว่าอเมริกาเอนเอียงไปทางอิสราเอลมากกว่าปาเลสไตน์ แต่ก็ยอมให้ดำเนินการไกล่เกลี่ยมาเป็นระยะในฐานะที่เป็นชาติมหาอำนาจของโลก

กระทั่งเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2560 ความเหมาะสมที่สหรัฐอเมริกาจะดำเนินบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยเจรจาเพื่อสันติภาพ ระหว่างปาเลสไตน์กับอิสราเอลก็หมดสิ้นลง เมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ออกคำประกาศยอมรับให้เมืองอัลกุดส์ หรือเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของระบอบไซออนิสต์ ซ้ำยังมีแผนการจะย้ายสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาไปอยู่ ณ เมืองอัลกุดส์แห่งนี้ด้วย คำประกาศและแผนการดังกล่าว ทำให้สหรัฐอเมริกาหมดความชอบธรรมที่จะเป็นตัวกลางในการเจรจาไกล่เกลี่ย ด้วยเหตุผลต่างๆ ดังต่อไปนี้

1. คำประกาศดังกล่าวเท่ากับการยกดินแดน ซึ่งนายโดนัลด์ ทรัมป์ และสหรัฐอเมริกาไม่มีสิทธิทางการปกครองใดๆ ให้แก่กลุ่มชนซึ่งไม่มีสิทธิจะได้รับเลยแม้แต่ตารางนิ้ว

2. คำประกาศดังกล่าวเท่ากับยอมรับว่า สิ่งที่ระบอบไซออนิสต์ทำกับพี่น้องชาวปาเลสไตน์ ซึ่งได้พยายามต่อสู้ปกป้องมาตุภูมิมาโดยตลอด ทั้งการจับกุมคุมขัง การสังหารหมู่ การเนรเทศ เป็นสิ่งที่ชอบธรรมตามทัศนะของนายโดนัลด์ ทรัมป์

3. คำประกาศดังกล่าวมิได้ละเมิดสิทธิของชาวปาเลสไตน์ เจ้าของดินแดนอัลกุดล์เท่านั้น แต่ยังละเมิดสิทธิของมุสลิมทั่วโลกอีกด้วย เนื่องจากไปยกมัสยิดอัลอักซอ อันเป็นศาสนสถานสำคัญของอิสลามลำดับ 3 รองจากมัสยิดอัลหะรอม และมัสยิดอัลนะบะวีย์ ให้ไปอยู่ใต้การปกครองของระบอบไซออนิสต์ ซึ่งแสดงท่าทีที่จะทำลายมัสยิดนี้มาโดยตลอด

4. คำประกาศดังกล่าวขัดแย้ง และสวนทางกับมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ที่ 242, 252, 267, 465 ซึ่งมติทั้งหมดนี้ เรียกร้องให้อิสราเอลถอนทหารออกจากกรุงเยรูซาเล็มทันที รวมทั้งให้ยุติการสร้างอาณานิคมชาวยิวในบริเวณดังกล่าวด้วย

5. คำประกาศดังกล่าวสะท้อนอคติเชิงชาติพันธุ์ และเชิงศาสนาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีต่อประชาชาติอิสลามอย่างชัดเจน เป็นอคติซึ่งมีแต่จะทำให้ความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้น และย่อมไม่อาจยังความสงบสุขแก่ภูมิภาคตามที่ทุกฝ่ายปรารถนาได้

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้จึงกล่าวได้ว่า แม้จะเป็นมหาอำนาจ แต่รัฐบาลของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ก็หมดความชอบธรรมที่จะเป็นคนกลาง เจรจาไกล่เกลี่ยข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์ เนื่องจากไม่ได้ใช้ความเป็นมหาอำนาจเพื่อผดุงไว้ซึ่งความเป็นธรรม และมนุษยธรรมแต่อย่างใด แต่กลับใช้อำนาจสนับสนุนความอธรรม ความรุนแรง และการฉ้อฉลมากขึ้น

จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศมุสลิมทั้งหมด เร่งปฏิบัติตามมติของที่ประชุมองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) ซึ่งได้จัดประชุมกันที่อิสตันบูล เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา ขอให้รัฐบาลของทุกประเทศในองค์การความร่วมมืออิสลาม (OIC) เร่งสร้างเอกภาพ และภราดรภาพเพื่อรวมตัวกันพิทักษ์มัสยิดอัลอักซอ และคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของพี่น้องปาเลสไตน์ โดยให้ถือเป็นวาระแห่งชาติของทุกประเทศ และขอให้ประเทศสมาชิก OIC ทั้งหมดร่วมกันสร้างพลัง เพื่อถ่วงดุลอำนาจของสหรัฐอเมริกา หรือชาติอื่นใดที่ทำการละเมิดสิทธิมนุษยชน ละเมิดดินแดน และบูรณภาพของประเทศอื่น

ขอให้มุสลิมไทยทุกคนร่วมสนับสนุนการต่อสู้ของพี่น้องปาเลสไตน์ ในการพิทักษ์คุ้มครองมัสยิดอัลอักซอ โดยถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่งของความเป็นมุสลิม ขอให้พี่น้องประชาชนคนอเมริกันเข้าใจว่า มุสลิมมิได้เป็นปฏิปักษ์กับประเทศ และประชาชนอเมริกัน แต่เป็นปฏิปักษ์กับความอธรรม ความฉ้อฉล และการใช้อำนาจในทางมิชอบของรัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์

อีกทั้งมุสลิมมิใช่ผู้ก่อการร้าย แต่รัฐบาลนายโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังใช้นโยบายสนับสนุนความรุนแรง และการก่อการร้ายของระบอบไซออนิสต์ ขอให้รัฐบาลของทุกประเทศ ตลอดจนประชาชนทุกคน ร่วมกันพิทักษ์รักษาความเป็นธรรม มนุษยธรรม และการเคารพในสิทธิของกันและกัน มิให้ชาติมหาอำนาจใดเข้ามาทำลายได้ ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์สุขของการอยู่ร่วมกันบนความแตกต่างทางวัฒนธรรม และความเป็นภราดรภาพแห่งมนุษยชาติสืบไป

 

ทีมา : MGR Online