ฝ่ายทหารใช้มาตรการพิเศษโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก ควบคุมพื้นที่ 2 ตำบลใน อ.หนองจิก จ.ปัตตานี เพื่อไล่ล่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุซุ่มโจมตีทหารพรานจนเสียชีวิต 2 นาย ได้รับบาดเจ็บอีก 4 นาย ผลของปฏิบัติการสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ถึง 10 คน แต่การกวาดจับถูกร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ทันทีว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์โดยมิชอบ
การใช้มาตรการพิเศษควบคุมพื้นที่ เริ่มขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 ก.ย.61 เป็นเวลา 7 วัน โดยพล.ท.ปิยวัฒน์ นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมนายทหารระดับสูง เปิดแถลงข่าวที่มณฑลทหารบกที่ 46 อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ระบุว่า จะใช้มาตรการตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 ควบคุมพื้นที่ ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ อ.หนองจิก เป็นเวลา 7 วัน เพื่อเปิดแผนยุทธวิธีเชิงรุก วางกำลังควบคุมพื้นที่ เพื่อไล่ล่าหาคนร้ายที่ซุ่มยิงเจ้าหน้าที่ทหารพรานชุดลาดตระเวน สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4303 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 43 จนมีกำลังพลเสียชีวิต 2 นาย บาดเจ็บ 4 นาย เหตุเกิดในพื้นที่ บ้านบางทัน ต.บางเขา อ.หนองจิก เมื่อคืนวันอังคารที่ 11 ก.ย.ที่ผ่านมา
มาตรการควบคุมพื้นที่มีทั้งการลาดตระเวนเอ็กซเรย์พื้นที่บนบก โดยใช้ยานพาหนะและกำลังพลเดินเท้า, ทางอากาศโดยใช้อากาศยาน และในทะเลโดยใช้เรือออกตรวจตรา เพราะ อ.หนองจิก เป็นอำเภอชายทะเล เขตต่อเนื่องกับ อ.เมืองปัตตานี และ อ.เทพา จ.สงขลา
จากการเปิดยุทธการปิดล้อมตรวจค้นตามมาตรการควบคุมพื้นที่โดยใช้กฎหมายพิเศษ มีข้อมูลจากชาวบ้านว่า เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 10 คน ปล่อยตัวแล้ว 1 คน เหลืออีก 9 คน ทราบชื่อคือ นายฟาริด (สงวนนามสกุล), นายอิบรอเฮม (สงวนนามสกุล), นายอับดุลฮาเล็ม (สงวนนามสกุล), นายฮัสมิง (สงวนนามสกุล), นายมะฮัมดี (สงวนนามสกุล), นายมามะ (สงวนนามสกุล), นายฮาบีดี (สงวนนามสกุล), นายดอแม (สงวนนามสกุล) และ นายดอแม (สงวนนามสกุล)
อย่างไรก็ดี ฝ่ายทหารยืนยันว่าควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปเพียง 8 คนเท่านั้น
ขู่ลูกก่อเหตุ พ่อแม่ต้องร่วมรับผิด
พล.ท.ปิยวัฒน์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น (ซุ่มโจมตีทหารพราน) เจ้าหน้าที่ดูแลประชาชนทุกคนทุกเชื้อชาติเหมือนกันหมด และเหตุกระทำผิดต่อไปนี้ ผู้เป็นพ่อเป็นแม่จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของลูกหลาน ขณะนี้กำลังตั้งทีมกฎหมายขึ้นมาดูแล เพราะไม่ใช่ให้ลูกหลานไปก่อเหตุรับเงินมาให้ครอบครัว แล้วจะถือเป็นอาชีพ แบบนี้ไม่ได้ ประเทศไทยไม่ยอมรับ เพราะทำให้ประชาชนคนอื่นต้องเดือดร้อน ขอให้ผู้ก่อการคิดใหม่ หันเข้ามาให้ความร่วมมือกับรัฐดีกว่า ให้มาเข้าโครงการพาคนกลับบ้าน
“ขอยืนยันว่าทั้งหมด 8 คนนี้จับกุมถูกตัวแน่นอน สำหรับพื้นที่ 2 ตำบล คือ ต.บางเขา กับ ต.ท่ากำชำ เป็นพื้นที่ควบคุมพิเศษ เพราะยังคงมีเจ้าหน้าที่หลายร้อยนายปฏิบัติภารกิจเชิงรุกในการกดดัน ปิดช่องว่างไม่ให้คนร้ายมีโอกาสเคลื่อนไหว หากพบก็จะดำเนินตามยุทธวิธีทันที จึงต้องขออภัยต่อประชาชนทั่วไปซึ่งอาจจะไม่ได้รับความสะดวกต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย แต่สาเหตุที่ต้องทำก็เพื่อควบคุมพื้นที่ ป้องกันไม่ให้คนร้ายก่อเหตุซ้ำอีก” แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าว
แฉผู้ต้องสงสัยรับสารภาพแล้ว
ด้าน พล.ต.จตุพร กลัมพสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจปัตตานี กล่าวว่า กำลังผสมทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง พร้อมอาวุธครบมือ รวมไปถึงชุดปฏิบัติการทางน้ำจากหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน และชุดปฏิบัติการทางอากาศ หน่วยบินเฉพาะกิจอโณทัย จำนวนกว่า 1,000 นาย กระจายกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นและไล่ล่าคนร้ายอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อติดตามจับกุมกลุ่มก่อความไม่สงบและคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุที่ยังคงหลบซ่อนตัวและเคลื่อนไหวอยู่ในพื้นที่ ผลการปฏิบัติสามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุได้ 8 คน
“หนึ่งในนั้นคือนายฟาริด เบื้องต้นเขาให้การรับสารภาพว่าเป็นคนดูต้นทางและชี้เป้า ก่อนจะขยายผลสาวไปถึงผู้ร่วมก่อเหตุอีกหลายคน” พล.ต.จตุพร ยืนยันถึงผลสำเร็จของปฏิบัติการ
ชาวบ้านร้องจับโดยไม่มีข้อหา
ต่อมา วันจันทร์ที่ 17 ก.ย. ที่ศูนย์สันติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (ม.อ.ปัตตานี) ได้มีชาวบ้าน ต.บางเขา และ ต.ท่ากำชำ จำนวน 5 ครอบครัว เดินทางเข้าร้องทุกข์ต่อศูนย์ประสานงานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ โดยอ้างว่าคนในครอบครัวถูกเจ้าหน้า 3 ฝ่ายควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับเหตุซุ่มยิงทหารพราน
นางเสาะ (นามสมมติ) หนึ่งในภรรยาของผู้ต้องสงสัยที่ถูกควบคุมตัว กล่าวกับ “ทีมข่าวอิศรา” ว่า สาเหตุที่มาร้องเรียน เพราะสามีถูกจับโดยไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา เกรงว่าสามีจะถูกเจ้าหน้าที่กระทำอะไรบางอย่างให้รับสารภาพ เพราะตนไม่เชื่อว่าสามีจะเป็นคนก่อเหตุ หรือมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ยิงทหารพราน
“ตั้งแต่เกิดเรื่องขึ้นมา ชาวบ้านรู้สึกหวาดระแวงมาก เพราะไม่รู้ว่าวันไหนเจ้าหน้าที่จะเชิญตัวใครไปอีก ทุกวันนี้ในพื้นที่ ตกเย็นๆ หน่อยก็ไม่มีใครกล้าออกไปไหน การที่เจ้าหน้าที่ประกาศใช้กฎอัยการศึกในหมู่บ้าน ก็เหมือนเปิดโอกาสให้เจ้าหน้าที่ได้ละเมิดสิทธิ์ชาวบ้านได้ง่ายขึ้น เราไม่เห็นด้วย”
บ่นชาวบ้านอยู่ยากต้องหนีไปมาเลย์
นางเสาะ บอกว่า ทุกวันนี้ในพื้นที่ก็มีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่มากมายอยู่แล้ว จึงไม่น่าจะมีความจำเป็นต้องใช้มาตรการพิเศษอะไรเพิ่มเติมอีก
“ทุกพื้นที่มีด่านทุกจุด เต็มไปด้วยเจ้าหน้าที่ เราเห็นแล้วก็ยังกลัว เพราะเยอะเหลือเกิน จะให้ชาวบ้านอย่างเราๆ ไปก่อเหตุอีกคงไม่มีทาง ทุกวันนี้ชาวบ้านในพื้นที่เยอะมากที่ไปอยู่มาเลเซีย ไปทำงานที่นั่น โดยเฉพาะพวกวัยรุ่น เพราะไม่อยากเจอปัญหาตกเป็นผู้ต้องสงสัย บางคนไปทำงานแล้วไม่ได้กลับบ้านเลย แต่ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่มาตามหา หลายคนกลับมาก็ถูกจับ ทั้งที่ตอนเกิดเหตุเขาอยู่มาเลเซีย” นางเสาะ กล่าว และว่า
“ทุกครั้งที่เกิดเหตุในพื้นที่ ชาวบ้านจะได้รับผลกระทบตลอด จะอยู่เหมือนปกติไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่เยอะมาก ยิ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ยิ่งกระทบกับชาวบ้าน เพราะจะไปทำงานก็ลำบาก เจ้าหน้าที่สงสัยทุกคน และทุกคนก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัย ชาวบ้านเลยกลัว ถ้าจับคนที่ทำจริงไม่เป็นไร แต่นี่ไม่ได้ทำ แต่ต้องมารับสภาพแบบนี้ มันไม่ใช่ พอไม่รับก็จะเป็นแบบอื่น” นางเสาะ ระบายความอัดอั้น
ส่วนที่แม่ทัพบอกว่าจะเอาผิดพ่อแม่หรือภรรยาที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องสงสัยก่อเหตุรุนแรงด้วยนั้น นางเสาะ กล่าวว่า แนวคิดแบบนี้เป็นปัญหามาก และคิดว่าไม่ถูกต้องเลยที่จะทำแบบนั้น
————————————————————————————————–
บรรยายภาพ :
1 กำลังพลเดินเท้าเข้าปฏิบัติการควบคุมพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ตามมาตรการพิเศษที่อาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึก
2 แม่ทัพภาคที่ 4 พร้อมตัวแทนฝ่ายทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง แถลงข่าวใช้มาตรการพิเศษควบคุมพื้นที่ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี
3 การเอ็กซเรย์พื้นที่เปิดปฏิบัติการพร้อมกันทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
4 ภรรยาผู้ต้องสงสัย 5 ครอบครัว เข้าร้องเรียนที่ศูนย์ประสานงานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
……………………………………………………………………………………………………………………………………
ที่มา /https://www.isranews.org/south-news/other-news/69554-martial_69554.html